พอเข้าไปในส่วนงานอาคารจัดแสดงก็พบกับป้ายไฟ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ขนาดใหญ่ซึ่งสามารถเปลี่ยนสีและรูปภาพต่าง ๆ ได้ ซึ่งในห้องโถงนี้จะมีเคาน์เตอร์อยู่ 2 ส่วนคือ ส่วนทางซ้ายมือ จะเป็นส่วนของงานประชาสัมพันธ์และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับงานนิทรรศการ ส่วนทางขวามือนั้นจะเป็นเคาน์เตอร์ขายบัตรเข้าชมงาน โดยจะเข้าชมเป็นกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มห่างกันประมาณ 20 นาที เพื่อไม่ให้จำนวนคนหนาแน่นเกินไปในแต่ละห้องจัดแสดง โดยการเข้าชมนั้นในขณะนี้ทาง“นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” นั้นได้จัด Promotion ราคาพิเศษ 100 บาท สำหรับผู้ใหญ่ พอได้บัตรมาแล้วไม่รอช้าก็เตรียมเข้าชมงานทันที แต่เนื่องด้วยมีผู้เข้าชมเยอะจึงทำให้เราต้องรอเวลาถึง 40 นาทีกว่าจะถึงรอบที่เราซื้อไว้ เลยเดินไปนั่งพักอ่านหนังสือรอที่ห้องสมุดบนชั้นลอย เสียดายที่ภายในบริเวณนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปครับ แต่ถ้าใครไม่ได้มาเที่ยวชมงานแต่อยากมาใช้บริการห้องสมุดก็ได้นะครับ มีค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าเป็นครั้งคราวหรือรายปีให้เลือกด้วย

หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็จะนำทุกท่านเข้าสู่ส่วนจัดแสดงต่อไป ซึ่งในส่วนนี้มีการบอกลรื่องราวของกรุงเทพมหานครตั้งแต่ตั้งแต่อดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อน มาจนถึงปัจจุบันพร้อมกับเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของโลกเรา ซึ่งตรงนี้ก็ได้มุมมองว่า ประเทศไม่เคยหยุดนิ่งอยุ่กับที่พร้อมทั้งมีเรื่องราวต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศและก้าวไปพร้อมกับชาวโลกอยุ่เสมอ หลังจากนั้นก็จะเดินขึ้นสู่ชั้น 2 ของอาคารเพื่อรับชมห้องถัดไป คือ ห้อง ”ดื่มด่ำย่านชุมชน” ภายในจะประกอบด้วยชุมชนต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์ในการประกอบอาชีพเฉพาะตัว จนกลายเป็นชื่อเรียกติดปากกันไป จนเป็นชื่อชุมชนในปัจจุบัน เช่น บ้านธุป บ้านน้ำอบ ชุมชนกรงนก เป็นต้น พาเดินวนจนรอบก็จะออกมาเข้าสู่ห้องถัดมาคือ ห้อง”รัตนโกสินทร์เรื่องโรจน์” ภายในห้องนี้คือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ภายในประกอบด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านวีดีทัศน์โดยให้ผู้ชมนั่งอยุ่ตรงกลางห้อง มีทั้งแสง สี เสียง ไอน้ำที่มากระทบหน้า ต้องบอกว่าห้องนี้ทำผมประทับใจมาก ๆ และอีกอย่างคือ ในห้องนี้เป็นลิฟท์ภายในตัว เมื่อเรานั่งลงภาพก็จะเริ่มฉายแล้วมีการยกขึ้นทั้งชั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับพิธภัณฑ์ในเมืองไทยมาก ๆ แต่เนื่องจากภายในห้องมีป้ายห้ามมีการบันทึกภาพ เราจึงไม่สามารถเก็บภาพมาฝากได้ ภายในห้องจะใช้เวลาถึง 15 นาที อาจจะดูเหมือนว่านาน แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเราได้เข้าไปสัมผัสจะรู้สึกว่า ยังสนุกและไม่คิดว่านี่ผ่านไป 15 นาทีแล้ว

พอจบปุ๊บลิฟท์ก็จะนำเรามาสู่ชั้นที่ 3 ของอาคารปั๊บซึ่งเป็นห้อง “เกียรติยศแผ่นดินสยาม” พอออกมาก็จะพบกับแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทยของพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้วมรกต ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงถึงเกียรติยศของแผ่นดิน ที่สื่อผ่านออกมาทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันประณีต เมื่อเดินชมต่อภายในห้องก็จะพบกับแบบจำลองของหน้าบัน ซุ้มพระทวาร ซุ้มพระบัญชร ซึ่งเก็บรายละเอียดได้อย่างวิจิตรงดงาม และมุมสุดท้ายของห้องโถงนี้คือการับชมพระแก้วมรกตในเครื่องทรงครบทั้ง 3 ฤดูในคราวเดียว ซึ่งในส่วนนี้จะมีการบอกเล่าเรื่องราวที่มา ที่ไปประวัติความเป็นมาว่าพระแก้วมรกตนั้นแท้จริงมาจากที่ไหน เดินทางไปประดิษฐานที่ใดแล้วบ้างและปัจจุบันได้ประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ในพระบรมมหาราชวัง

ในห้องต่อมาคือห้อง “เรืองนามมหรพศิลป์” ในช่วงแรกที่เข้าไปถึงจะทำให้รุ้สึกเหมือนว่าเราเข้าไปในรั้วในวังสมัยก่อน เพราะเราจะได้พบกับหุ่นขี้ผึ้งของผู้คนที่แต่งกายเหมือนในหนังเรื่อง “4 แผ่นดิน” ซึ่งศิลปะแขนงต่าง ๆ มีการสื่อออกมาทางการทำอาหาร อย่างเช่นการแกะสลักผักและผลไม้ การร้อยมาลัย เครื่องแต่งกาย การร่ายรำ เป็นต้น หลังจากนั้นก็จะเป้นการนำเสนอถึงวิวัฒนการของมหรฬในประเทศไทย ซึ่งมีทั้ง หนังใหญ่ โขน ละคร ฟ้อนรำ และหุ่นเชิดในลักษณะต่าง ๆ และยังห้องย้อนยุคพาเราไปชมมรหพสมโภชในมุมมอง 360 องศา เสมือนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศงานเฉลิมฉลอง

ถัดมาก็จะพบกับมุมเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “ฉายาราชดำเนิน” ในส่วนนี้ไกด์สาวสวยของเราจะทำการเชื้อเชิญแขกทุก ๆ ท่านเข้าไปร่วมถ่ายภาพเพื่อเป็นการร่วมสนุกกับกิจกรรมในห้องถัดไปของนิทรรศการ ซึ่งตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด ดังนั้นผมไม่พลาดที่จะเข้าร่วมอยู่แล้ว เลยเข้าไปชักภาพกับเด็ก ๆ และชาวต่างชาติร่วมกรุ๊ปอย่างสนุกสนาน สำหรับ ห้องนิทรรศการถัดไปคือ ห้อง”เยี่ยมยลถิ่นกรุง” ภายในพวกเราก็จะได้พบประสบการณ์ในการเที่ยวชมนิทรรศการคือ เราได้เข้าไปเป็นตัวละครหลักในแอนนิเมชั่น ซึ่งตรงนี้เมื่อเห็นหน้าตัวเองอยุ่ในแอนนิเมชั่นก็อดขำไม่ได้ ซึ่งพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยวบนเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งมีหลายรูปแบบทั้ง สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ อาหารการกิน การจับจ่ายสินค้าและสีสันในยามค่ำคืน ออกมาจากห้องก็ทำการขึ้นบันไดต่อไปอีกชั้นนึงคือชั้นที่ 4 ซึ่งด้านบนได้ทำเป็น ”จุดชมวิว” พร้อมกับมีร้านกาแฟ True Coffee ด้านบนไว้ให้ผู้คนที่เหนื่อยล้าจากการเดินเที่ยวชมนิทรรศการได้พักผ่อนและรับชมวิวในมุมกว้างโดยรายล้อมไปด้วย กลุ่มสถาปัตยกรรมสุดยอดแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อาทิ เช่น ภูเขาทอง ป้อมมหากาฬ ลานพลับพลามหาเจษฏาบดินทร์ วัดราชนัดดารามวรวิหารและโลหะปราสาทในมุมมองที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

หลังจากที่เราพักผ่อนและถ่ายภาพกันจนเต็มอิ่มนั้น เราก็จะเดินลงมาสู่ห้องนิทรรศการถัดไปคือห้อง “ระบิลพระราชพิธี” ภายในจะประกอบด้วยพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ ที่สามารถนั่งรับชมผ่านทางจอทีวีพร้อมเก้าอี้นั่งแสนสบาย เช่น พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระราชพิธีทรงพระผนวช พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น ในส่วนถัดมาก็จะเป็นส่วนจัดแสดงพระราชพิธีอื่น ๆ เช่น พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระราชพิธีรับและสมโภชขึ้นระวางช้าง เป็นต้น ถัดไปก็จะเป็นห้อง “สง่าศรีสถาปัตยกรรม” ซึ่งในประกอบด้วย เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม วัง วัด อาคารบ้านเรือน ซึ่งแสงถึงวิวัฒนาการในแต่ละยุคสมัยเพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับความเจริญที่เข้ามา รวมถึงการรับเอาวัฒนธรรมจากจีนและชาติตะวันตกเข้ามาประยุกต์ในการออกแบบสถาปัตยกรรมของไทยอีกด้วย

เมื่อเที่ยวชมจนรอบก็จบด้วยการลงมาเดินในโถงด้านล่างอีกครั้ง ก็จะมีมุมพักผ่อนและโถงเอนกประสงค์ รวมถึงมีร้านของที่ระลึก ร้านกาแฟต่าง ๆ และการร่วมทำแบบสอบถามเสนอความคิดเห็นปรับปรุงและติชมในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตรงนี้ผมให้คะแนนเต็มไปเลยครับ เจ้าหน้าที่ที่นี่ผ่านการอบรมมาอย่างดี ทั้งความรู้ ทั้งมารยาท ทุกอย่างเยี่ยมมากครับ ประทับใจสุด ๆ สำหรับ “นิทรรศรัตนโกสินทร์” ก่อนกลับเจ้าหน้าที่ยังบอกผมว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีโซนที่เปิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกห้อง ดูท่าสงสัยผมจะต้องกลับมาเที่ยวซ้ำในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทุกการดูแล การอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่ ที่พาผมเดินย้อนไป ย้อนมา กลับไปเก็บภาพในมุมที่เดินชมผ่านมาแล้ว ถ้าใคร ๆ ว่างขอเสนอให้ลองมาเที่ยวชมครับแล้วจะรักกรุงรัตนโกสินทร์ของเรามากขึ้น พร้อมทั้งกลับไปด้วยความรู้เต็มกระเป๋าแบบที่คุณไม่สามารถใช้เงิน 100 บาทมาหาความรู้และความประทับใจแบบนี้ได้จากที่ไหนแน่นอนครับ